ทหารข้ามเพศชาวอเมริกันนับพันจะถูกปลดจากกองทัพสหรัฐภายในหนึ่งเดือน
This post is also available in: English
เมื่อวานนี้กระทรวงกลาโลมของสหรัฐอเมริกาได้ทำการอนุมัติการแบนคนข้ามเพศจากการเข้าร่วมกองทัพ และผู้สื่อข่าวจำนวนมากได้รับรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการดังกล่าว ซึ่งการแบนคนข้ามเพศจะต้องถูกนำไปปรับใช้ก่อนวันที่ 12 เมษายนที่จะถึง
จากข้อมูลที่องค์กรผู้สื่อข่าวของสหรัฐได้รับ กองทัพจะถูกบังคับให้ปลดนายทหารที่ไม่เต็มใจในการใช้เพศกำเนิดของตัวเอง โดยนายทหารทุกคนที่”ไม่สามารถหรือไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติตามมาตรฐานต่างๆ รวมถึงมาตรฐานที่มีความเกี่ยวข้องกับเพศโดยกำเนิด หรือมีความต้องการเปลี่ยนแปลงเพศเป็นเพศตรงข้าม” จะต้องถูกปลดประจำการ
โดยอาจมีการยกเว้น”ตามความเห็นชอบของเลขานุการโดยพิจารณาเป็นกรณีไป” ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มทหารที่มีความสามารถซึ่งไม่สามารถทนแทนได้
ศูนย์แห่งชาติเพื่อความเท่าเทียมของคนข้ามเพศแห่งสหรัฐได้วิเคราะห์ตัวเลขคร่าวๆว่าในสหรัฐอเมริกามีอดีตทหารข้ามเพศกว่า 134,000 คนและที่ยังคงเป็นทหารอยู่ในปัจจุบันถึง 15,000 คน
โดยการแบนที่เกิดขึ้นได้รับการอนุมัติโดยรองปลัดกระทรวงกลาโหมแห่งสหรัฐ David Norquist เมื่อคืนนี้
หลังจากนี้ ผู้สมัครเป็นทหารที่เป็นคนข้ามเพศจะไม่ได้รับสิทธิ์ในการเข้าร่วมกองทัพอีก แม้ว่าพวกเขาจะทำการแปลงเพศเป็นเพศที่แท้จริงของตัวเองแล้วก็ตาม และในการจะเข้าร่วมกองทัพสหรัฐในอนาคต คนที่เคยรับการบำบัดด้วยฮอร์โมนหรือการผ่าตัดเพื่ออัตลักษณ์ทางเพศจะไม่สามารถเข้าร่วมกองทัพได้เช่นกัน
การแบนของทรัมพ์จะยังคงมีผลแม้ว่าหัวหน้ากองทัพหลายๆนายจะไม่เห็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากนายทหารที่เป็นคนข้ามเพศอย่างเปิดเผย โดยเฉพาะในเรื่องของวินัย คุณธรรม และความพร้อมในการเผชิญกับปัญหาต่างๆ
ผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันหลายๆคนได้ทำการเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการรับนายทหารข้ามเพศที่ไม่ถูกต้อง และกระทรวงกลาโหมของสหรัฐก็ได้ยืนยันค่าใช้จ่ายเพื่อดูแลทหารที่เป็นคนข้ามเพศราว 250 ล้านบาทจากงบประมาณทั้งหมดราว 1.5 ล้านล้านบาท
และไม่น่าแปลกใจที่เราได้เห็นกลุ่มผู้สนับสนุนเพศทางเลือกและกลุ่มเสรีนิยมออกมาต่อต้านการแบนดังกล่าว รวมถึงผู้นำพรรคเดโมแครคอย่าง Nancy Pelosi ที่บอกว่ามาตรการดังกล่าวเป็นการกระทำที่”ขี้ขลาด”
“ความพยายามในการแบนคนข้ามเพศในการเข้าร่วมกองทัพเป็นการโจมตีคนรักชาติที่ช่วยปกป้องเราและชาติของเราอย่างน่ารังเกียจ” เธอกล่าวเมื่อคืนนี้ “การตัดสินใจในหลายๆปีที่ผ่านมาทำให้เราเห็นชัดแล้วว่าอคติที่เขามีคือสิ่งที่ชี้นำการตัดสินใจของเขา ไม่ใช่ความรักชาติแม้แต่น้อย”
Aaron Belkin จาก Palm Center ที่ทำการส่งเสริมการเรียนรู้ในด้านสมาชิกกองทัพที่เป็น LGBTQ กล่าวว่า “ในช่วงสามปีที่ผ่านมา กองกำลังเหล่านี้ได้ประสบความสำเร็จในหลายๆเรื่องและได้รับการสนับสนุนจากผู้นำกองทัพอย่างถูกต้อง แต่การปกครองของทรัมพ์กลับมีความตั้งใจที่จะใช้กฎ ‘อย่าถาม อย่าพูด’ ที่จะบังคับให้สมาชิกกองทัพของเราต้องเลือกระหว่างการรับใช้ชาติหรือการบอกความจริงในสิ่งที่พวกเขาเป็น”